วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

(แปล) MYOJOเดือน2“ทามาโมริ ยูตะ”10000ตัวอักษร


ติ้งแปลไว้นานแล้วฝ้ายเพิ่งมีเวลาเอามาลง
ใครจะเอาไปเผยแพร่ ตามสบายเลยค่ะแต่ให้เครดิทน้องด้วยนะคะ
อ่านแล้วคุณจะรักทามะโมริ ยูตะขึ้นอีกเยอะเลยหล่ะ ^w^

MYOJOเดือน2“ทามาโมริ ยูตะ”10000ตัวอักษร

“นายน่ะพูดเหมือนนกขุนทองเลย”
-เป็นลุคเท่ๆมาตลอด ตั้งแต่เมื่อก่อนเลยเหรอ?
ทามะ:ตอนนี้น่ะผมค่อนข้างที่จะเงียบเลยแหละ แต่ว่าตอนเด็กๆเนี่ยไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ เพราะว่าเสียงสูงมากๆแล้วก็พูดมากด้วย พ่อก็เลยบอกว่า “นายน่ะ พูดเป็นนกขุนทองเลย”

-ไม่คิดมาก่อนสินะ
ทามะ:แม่บอกว่า “ตอนเด็กๆทั้งดื้อทั้งร่าเริง กว่าตอนนี้อีก”(หัวเราะ) เพราะว่าออกไปเล่นข้างนอกบ่อย แล้วทำเสื้อผ้าสกปรกก็เลยถูกโกรธเอาน่ะ ตอนที่อยู่ประถมก็ได้เป็นคนดูแลสัตว์ด้วย แต่เพราะว่าไม่ค่อยถนัดเรื่องกลิ่นในกระท่อมของกระต่ายก็เลยมีความทรงจำที่ขอกลับก่อนเวลาเพื่อโดดทำความสะอาดด้วยนะ

-ดื้อจริงๆเลยนะ
ทามะ:แต่ว่าห้องตอนเด็กอยู่ชั้นสองน่ะ แล้วพอตอนกลางคืนก็จะกลัว ไม่กล้าลงมาข้างล่างคนเดียวด้วย เพราะเชื่อว่าจะมีผีที่น่ากลัวออกมาน่ะ

-พอโตขึ้น มีสิ่งที่อยากเป็นไหม?
ทามะ:มันก็ไม่ได้เป็นความทรงจำหรอกนะ แต่ตอนอนุบาล พอถูกถามว่าอยากเป็นอะไร ก็จะตอบไปว่า อยากเป็นคุณย่า ออกไปล่ะ

-เอ๋??
ทามะ:ทั้งๆที่ทุกคนก็อยากเป็นคาเมนไรเดอร์บ้าง อุลตร้าแมนบ้าง ตอนนั้นครอบครัวกังวลมากเลยนะ พูดว่า “เด็กนี่ สับสนอะไรกับชีวิตรึเปล่าเนี่ย”

-ฮ่าๆๆๆ
ทามะ:อาจจะเป็นอิทธิพลของคุณย่าของผมล่ะมั้ง เพราะว่าท่านใจดีมากๆเลยล่ะ แล้วท่านก็รักผมมากๆด้วย ผมก็รักคุณย่ามากๆเหมือนกัน

-ตอนป.3ก็เริ่มเล่นเซิร์ฟแล้วใช่ไหม?
ทามะ:เป็นอิทธิพลมาจากคุณลุงล่ะ เพื่อที่จะให้ครอบครัวได้เล่นมันด้วยกันน่ะ


-เล่นเซิร์ฟเนี่ย สนุกไหม?
ทามะ:ตอนแรกก็ไม่สนุกเท่าไหร่หรอก เพราะว่าถูกบังคับให้ไปน่ะ เคยแกล้งทำเป็นหลับอยู่ในรถด้วยนะ

-ทั้งๆที่จริงแล้วตื่นอยู่อ่ะนะ?
ทามะ:ตื่นอยู่ชัดๆเลยแหละ (หัวเราะ)

“การออดิชั่นในเสื้อกันหนาวที่เปียกไปด้วยน้ำตา”
-ก่อนที่จะเข้าจูเนียร์ มองงานในวงการบันเทิงเป็นแบบไหน?
ทามะ:ก็คิดว่าเป็นโลกที่เราเข้าไม่ถึง เพราะตอนแรกก็เกลียดการทำตัวให้โดนเด่นอยู่แล้ว

-อย่างนั้นหรอ?
ทามะ:น่าจะประมาณตอนม.ต้นล่ะมั้ง ทั้งในห้องเรียน ทั้งในงานกีฬาสี ก็ไม่อยากทำตัวโดดเด่นอยู่แล้วน่ะ คงจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้วล่ะมั้ง

-เห็นว่าคุณแม่เป็นแฟนคลับของยามาชิตะคุงสินะ
ทามะ:เหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ เพราะว่าพูดตลอดเลยล่ะว่า “ยามะพีเท่” พอเข้าจอนนี่ ครั้งแรกที่ได้เห็นยามาชิตะคุง ผมก็คิดเหมือนกันว่าเท่จริงๆเลยน้า มีออร่ามากๆเลยล่ะ ดูเป็นเจ้าชายสุดๆ

-เรื่องที่คุณแม่เป็นคนส่งประวัติไปที่บริษัทเนี่ยไม่เคยรู้มาก่อนเลยใช่ไหม?
ทามะ:ตอนนั้นอยู่ม.1นะ ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ

-แล้วรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่เหรอ?
ทามะ:ก็วันนั้นมีนัดไปตกปลากับเพื่อนก็เลยตื่นเช้าน่ะ แล้วทีนี้ แม่ก็พูดว่า”วันนี้ต้องไปออดดิชั่นนะ” ก็เลยตอบไปว่า”วันนี้ไปไม่ได้” แม่ก็ไม่สนใจแล้วบอกกลับมาว่า “ยังไงก็ไม่ผ่านหรอก แค่ลองไปดูเท่านั้นเอง”

-งั้นก็เป็นการบังคับให้ไปสินะ?
ทามะ:ผมก็พูดต่อไปว่า”ผมไม่ไป” พ่อก็เลยบังคับให้ขึ้นรถแล้วพาไปส่งน่ะ มันยากเกินกว่าจะเข้าใจจริงๆนะ

-พอถึงที่ออดิชั่นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ทามะ:มีแต่พวกคนที่มาออดิชั่นเต็มไปหมดเลย มีทั้งเด็กที่เต้นอยู่หน้ากระจก มีทั้งเด็กที่กำลังวอร์มร่างกาย ทุกคนดูมีความตั้งใจ แต่ผมเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก ก็เลยไม่ชอบที่นี่เอามากๆ และยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าตอนนั้นน่ะผมเตี้ยด้วย เวลาที่จัดตำแหน่งการเต้นน่ะ ผมก็ต้องไปอยู่หน้าสุดเลย ทั้งๆที่เต้นไม่ได้ ก็ยังมาพูดใส่อีกว่า”เต้นสิ!” เพราะมันยากเกินกว่าจะเข้าใจก็เลยร้องไห้ออกมาน่ะ

-ร้องไห้เหรอ?
ทามะ:ใช่ ตอนนั้นน่ะใส่เสื้อกันหนาวสีเหลืองแต่เพราะว่ามันเลอะคราบน้ำตาแค่บริเวณอก สีเหลืองมันก็เลยเข็มขึ้น

-นี่มันไม่ใช่แค่เบะปากร้องร้องไห้แล้วนะ มันเป็นการร้องไห้อย่างขมขื่นเลยน่ะสิ
ทามะ:ผมเกลียดมันมากกว่าอะไรอีก แล้วผมก็มีป้ายชื่อและเบอร์ติดเอาไว้ที่ตัวตลอด เพื่อที่จะเอาไว้เช็คน่ะ เพราะฉะนั้นก็อาจจะไม่ผ่านก็ได้ล่ะมั้ง

-ไม่อยากผ่านหรอกเหรอ?
ทามะ:ก็ไม่อยากผ่านน่ะสิ เพราะว่าอยากกลับบ้านเร็วๆ เขาจะให้เต้นประมาณ1-2ชม. พอผมคิดว่า ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านซักที ก็มีคนมาพูดว่า “คนที่มีเลขตามนี้ให้อยู่ต่อก่อน” แล้วก็ถูกเรียกออกมา 7-8คน และผมก็เป็น1ในนั้น

-อย่างนี้นี่เอง
ทามะ:และเขาก็บอกว่า”เดี๋ยวเราจะไปถ่ายรูปกัน” แล้วก็พาไปที่สตูดิโอ ก็เลยหัวเราะด้วยกันกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วผมก็คิดว่า”นี่ มันอะไรกันเนี่ย?” แล้วก็หัวเราะออกมา จำได้แม่นเลยล่ะ ว่าตอนนั้นมีเทโกชิ(ยูยะ)และยาโอโตเมะ(ฮิคารุ)อยู่ด้วย

-แล้วกิจกรรมของจูเนียร์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง?
ทามะ:ให้ความรู้สึกเหมือนสโมสรอะไรซักอย่างนึง แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำต่อไปอย่างแน่นอน ผมน่ะถูกส่งให้มาเรียนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำต่อไปถึงเมื่อไหร่ อย่างตอนที่เขาให้ผมว่ายน้ำ แต่ผมน่ะอยากจะเลิกแล้วก็กลับไปตั้งหลายครั้งเพราะว่าอยากกลับไปดูโปเกมอนน่ะ

-แล้วชีวิตตอนม.ต้นเป็นแบบไหนล่ะ?
ทามะ:ทุกวันมันก็สนุกนะ เพราะว่าได้พยามอย่างเต็มที่ในสโมสรและได้เล่นกับเพื่อนด้วย เพราะว่าไปเข้าชั้นเรียนของจูเนียร์ก็เลยคิดเกี่ยวกับเรื่องม.ปลายนิดหน่อยน่ะ เพราะว่ายังไม่มีความฝันที่ชัดเจนเลยน่ะสิ

-ตอนที่เข้าจูเนียร์น่ะ เพื่อนผู้หญิงในห้องเรียนไม่ตื่นเต้นกันเลยเหรอ?
ทามะ:ไม่เลย ไม่มีใครสนใจเลยแหละ ไม่ใช่แค่ว่าไม่ได้ออกทีวีนะ นิตยาสารก็ไม่ได้ลงด้วยแหละ


-อย่างนั้นเหรอ ..แต่ก็เนื้อหอมใช่ไหมล่ะ?
ทามะ:ไม่ใช่เลยล่ะ ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบเลยจริงๆ เพราะว่าส่วนใหญ่จะได้ช็อคโกแลตที่ให้ตามมารยาทมากกว่า ทั้งๆที่ตอนประถมน่ะออกจะเนื้อหอม(หัวเราะ) เพราะว่าได้รับช็อคโกแลตเยอะแยะก็เลยคึกคักน่ะ แต่ว่าตอนประถมทุกคนก็ต้องเคยได้รับช็อคโกแลตไม่ใช่เหรอ? สมัยม.ต้นน่ะแทบจะไม่ได้คุยกับผู้หญิงเลย แล้วก็ไม่อยากทำตัวโดดเด่นด้วย

-ไม่อยากเรียนเต้นต่อแล้วก็ไม่อยากโดดเด่นด้วย ก็เลยจะออกจากจูเนียร์สินะ
ทามะ:นั่นสินะ ก็เข้ามาได้ประมาณครึ่งปีแล้วล่ะมั้ง แล้วก็เป็นครั้งแรกได้รับจดหมายจากแฟนๆด้วย พอเดินไปถึงที่ทำงาน เมื่อก่อนเนี่ยจะมีเหมือนสวนสาธารณะที่มีแฟนๆยืนต่อแถวกันอยู่ด้วยนะ เด็กที่มีแฟนคลับก็จะได้รับจดหมายที่นั่น แต่ว่าผมไม่มีแฟนคลับเลยซักคน ก็เลยจะพูดประมาณว่า “ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย” แล้วก็จะเดินผ่านไปตลอด แต่ว่า วันนั้นเนี่ย มีคนเข้ามาคุยด้วยล่ะ ตอนแรกน่ะ เพราะว่ากลัวก็เลยทำเป็นไม่สนใจ(หัวเราะ) แต่ ถูกถามว่า “ชื่ออะไรเหรอคะ?” พอตอบไปว่า”ทามาโมริครับ” วันถัดมา คนนั้นก็ถือจดหมายมาให้ล่ะ เขียนว่า”พยามเข้านะคะ จากแฟนคลับ” พออ่านแล้ว ก็คิดว่าต้องพยายามอย่างเต็มที่แล้วนะ

-ถ้าสมมุติว่าไม่มีจดหมายฉบับนั้นล่ะ
ทามะ:ก็คงจะไม่ได้มายืนอยู่จุดนี้ล่ะมั้ง เรื่องในวันนั้นน่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ดีเลยล่ะ

“สร้างกำแพงกั้นเมมเบอร์คนอื่นๆจนถึงที่สุด”
-แล้วกิจกรรมของจูเนียร์เป็นไปอย่างราบรื่นไหม?
ทามะ:ตอนแรกน่ะ เพราะเขาบอกว่า”ครั้งต่อไปช่วยมาอีกในวันที่กำหนดไว้ด้วย”ก็เลยเป็นความรู้สึกที่ว่าต้องไปเรียนล่ะ
อ๊ะ ยังจำได้อยู่เลยตอนที่จะไปเล่นเซิร์ฟกับครอบครัว แล้วอยู่ๆแม่ก็โทรศัพท์มาอย่างกะทันหัน บอกว่า”ช่วยมาNHKตอนนี้เลย” แล้วผมก็คิดว่า “อีกแล้วเหรอ??” แต่ก็ต้องไปแหละ ก็พูดได้แค่ตอนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นแหละ ตอนนั้นก็ไม่ได้เอากางเกงในมาเปลี่ยนด้วย และผมก็อายด้วยที่จะบอกกับครอบครัวว่าไม่ได้เอากางเกงในมาน่ะ และมันก็เป็นครั้งนึงที่ผมเรียนเต้นโดยไม่ใส่กางเกงในด้วย(หัวเราะ)
-ฮ่าๆๆๆ กลุ่มในจูเนียร์ที่เข้าไปอยู่ในตอนแรกเนี่ยคือ J.J.Expressสินะ แต่ตอนนี้ก็ให้อาริโอกะ ไดกิคุงกับนากาจิม่า ยูโตะคุงไปอยู่Hey!Sey!JUMPแล้วใช่ไหม?
ทามะ:เป็นอย่างนั้นแหละครับ ทั้งๆที่คิดไว้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาเลยตอนที่ได้อยู่ในกลุ่ม มันสำคัญมาก แต่มันต่างกันตรงที่ว่าเมื่อคุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น ผมรู้ตัวเลยว่าเขาจะให้ผมแยกออกจากกลุ่ม

-ถูกแยกออกจากกลุ่มเหรอ?
ทามะ:ใช่ คนที่ออกแบบท่าเต้น บอกผมว่า”ออกไปซะ” ผมก็ได้แต่ “เอ๋??” มันเจ็บใจมากเลยนะ จูเนียร์คนอื่นๆก็มาพูดว่า “เอ๊ะ? ทำไมไม่ไปทางนั้นล่ะ เขารวมตัวกันแล้วนะ” ผมเกลียดการที่ต้องพูดกลับไปว่า”ฉันมันไม่เกี่ยวแล้วล่ะ”เพราะว่ามันน่าอายน่ะ

-เป็นครั้งแรกที่ท้อแท้สินะ
ทามะ:ผมคิดว่าผมน่ะเป็นเด็กเอาแต่ใจ มันเลยเป็นเหมือนความรู้สึกที่สบายใจขึ้นมานิดนึงล่ะ ที่จะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม
การเรียนเต้นน่ะมันต้องขยันฝึกซ้อมล่ะแต่ว่าทั้งการเต้นทั้งการร้องเนี่ย ถ้าพูดว่า”จะพยามอย่างจริงจังแล้ว” ก็จะคิดว่า”เราสามารถพยามได้มากกว่านี้อีกไม่ใช่เหรอ?”

-ตอนนั้นเนี่ยอยู่ม.ปลายพอดีเลยสินะ
ทามะ:ใช่แล้วล่ะ โรงเรียนมัธยมปลายของผมน่ะ มีเด็กผู้ชายแค่4คนเอง เป็นโรงเรียนม.ปลายที่เหมือนกับฮาเร็มเลย

-สภาพแวดล้อมแบบนี้มันเหมือนในการ์ตูนเลยนะ
ทามะ:ตอนแรกก็รู้สึกแย่มากเลยนะ เพราะว่าส่วนใหญ่เนี่ยมีแต่เด็กผู้หญิง ดังนั้นอำนาจในการเป็นผู้นำก็เหมือนจะเป็นฝ่ายหญิงเสมอเลย และผู้ชายก็จะกลายเป็นส่วนเล็กๆที่อยู่ริมห้องเสมอเลย เวลาพักกลางวัน เพราะว่าเด็กผู้หญิงจะใช้ห้องเรียนทั้งหมด พวกผมก็เลยต้องมานั่งกินข้าวอยู่ตามทางเดิน

-งั้นก็เป็นการรวมตัวกันของเด็กผู้ชายที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่เหรอ?
ทามะ:นั่นสินะ เพื่อนร่วมห้องในตอนนั้นน่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังสนิทกันอยู่เลยนะ แต่เพราะว่าผมเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นยาก ตั้งแต่เข้าเรียนมา1เดือนก็ยังไม่ได้พูดกับใครเลยนะ ทั้งๆที่ผู้ชายมีกันแค่4คน ฉันว่าเด็กผู้ชายคนอื่นเนี่ยคงจะคิดว่าผมเกลียดพวกเขาไปกันหมดแล้วล่ะ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ เพราะว่าผมน่ะไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้ตั้งแต่ที่คุยกันครั้งแรกน่ะสิ มันต้องใช้เวลามากเลยกว่าจะคุ้นเคยกัน

-แล้วลดระยะห่างยังไงล่ะ?
ทามะ: ก็มันจะมีเวรทำความสะอาดน่ะ ตอนนั้นก็จะทำด้วยกันล่ะ พอทำความสะอาดกับเด็กผู้ชายด้วยกันสองคน ก็กลายเป็นบรรยากาศที่ แย่สุดๆเลย แต่ผมนี่ก็แย่จริงๆนั่นแหละ ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน ก็ยังจะไปถามว่า”ชื่ออะไรน่ะ?” อีกฝ่ายก็เลยตกใจแล้วตอบมาว่า”อะไรครับ” มันเป็นสาเหตุมาจากสิ่งนี้แหละ ที่ทำให้เราสนิทกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังเอาเรื่องนี้มาพูดกันอยู่เลยนะ ประมาณว่า “ตอนแรกเลยเนี่ย ทั้งๆที่เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน แต่ก็ยังจะใช้คำพูดแบบเป็นทางการคุยกันอีกนะ”

-หลังจากเป็นA.B.C.Jrแล้วก็เข้ามาเป็นคิสมายตอนม.4สินะ ตอนแรกคุณคิดยังไงกับเมมเบอร์ที่มารวมตัวกัน?
ทามะ: เพราะว่ามีนิไกโด(ทาคาชิ),เซนกะ(เคนโตะ),มิยาตะ(โทชิยะ)อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนเป็นA.B.C.Jr.แล้วก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ว่าอีก3คนที่เหลือเนี่ยไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อนเลย แล้วก็โตกว่าด้วย และเพราะว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักผมด้วย ก็เลยรู้สึกห่างเหินไปหน่อยน่ะ

-ดังนั้น ก็เลยแสดงออกถึงการเข้ากับคนอื่นได้ยากออกมาด้วย
ทามะ: บางที ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างกำแพงเพื่อกั้นเมมเบอร์คนอื่นๆจนถึงท้ายที่สุดเลยล่ะนะ

-แล้วทำลายกำแพงนั่นได้ยังไงล่ะ?
ทามะ: เพราะว่ากายะกับคิตะน่ะเป็นศูนย์กลางของพวกเรา แล้วก็ให้เราเล่นเกมส์ที่ว่าห้ามใช้คำที่เป็นทางการด้วยแหละ แล้วเราก็เล่นกันไปตั้งหลายครั้ง จนค่อยๆสนิทกันมากขึ้น แต่กับวัตตะเนี่ย(โยโก วาตารุ) สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แหละ(หัวเราะ) เขาบอกว่า“ไม่ถนัดเรื่องแบบนี้เท่าไหร่” และตอนที่ไปเล่นบุไต”Takizawa Enbujou” ก็ทะเลาะกันครั้งใหญ่เลยล่ะ

-สาเหตุมาจากอะไรล่ะ?
ทามะ: มันไร้สาระมากเลยนะ ก็ตอนที่แสดงบุไตวัตตะเข้ามาในเวทีผิดคิว ทั้งๆที่เขาอยู่บนเวทีแบบนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ย้อนกลับที่หลังเวที และเพราะว่าเราทั้งคู่ใส่โรเลอร์อยู่ มันเลยไม่สามารถที่จะหยุดได้ทันที สุดท้ายก็เลยชนกันและล้มลงไปทั้งคู่ แล้วเขาก็มาตะคอกใส่ผมว่า”ทำไมนายมาชนฉันวะ!” ผมก็คิดว่าคนที่ผิดน่ะมันเป็นนายนะ แต่เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ผมก็เลยต้องขอโทษ หลังจากที่บุไตจบ พอมาถึงที่ห้องแต่งตัวก็ทะเลาะกันเลยแหละ

-แล้วคืนดีกันยังไงเหรอ?
ทามะ: วันนั้นก็จบลงด้วยการทะเลาะกัน และวันถัดมา ก็วัตตะเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นใช่ไหมล่ะ ดังนั้นเขาก็เลยมาคุยกับผมเหมือนปกติ ผมก็คิดว่ามันไม่ดีหรอกที่จะมีบรรยากาศที่ตึงเครียดตลอดไปน่ะ ก็ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ทำให้เราเริ่มสนิทกัน ตอนนี้เรา2คนกลับมาเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องในตอนนั้นอีก ตอนแรกนะ ก็คิดไว้ว่าเกลียดคนๆนี้มากๆเลย(หัวเราะ)

-เคยคิดไหมว่าเมื่อไหร่คิสมายจะได้เดบิ้ว?
ทามะ: ตอนแรกก็ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องเดบิ้วเลยนะ แต่เพราะว่าเราพยามอย่างเต็มที่มาด้วยกัน


“ภายในใจมันสั่นไปหมดแล้วก็คิดว่า “แย่แน่ๆ”
-ภายในใจคิดว่า”พยายามเข้านะ” แต่ภายในกลุ่มคุณไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกหมดหวังเลยสินะ
ทามะ: ถูกพูดใส่บ่อยมากเลย ว่าเหม่อลอยตลอดเวลาบ้าง(หัวเราะ) ไม่เข้าใจว่าคิดอะไรอยู่บ้าง ก็จะถูกคนที่ออกแบบท่าเต้นโมโหใส่อยู่บ่อยๆเลยล่ะว่า”ถ้าไม่ได้ชอบทำงานนี่ก็กลับบ้านไปซะ” มันไม่ใช่ว่าไม่ได้ชอบงานนี้ซะหน่อยนะ

-พอถูกพูดว่ากลับบ้านไปซะ ก็จะแสดงท่าทางที่จะกลับบ้านออกมาสินะ
ทามะ: ไม่ ไม่ ไม่ เพราะคิดว่าถ้ากลับไปละก็จบแน่ๆ ก็เลยต้องกัดฟันพูดตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่า”จะทำครับ!”

-ภาพลักษณ์ของคุณจะทำลายคุณที่ละนิดๆสินะ
ทามะ: การที่พูดว่า”จะพยายามครับ”เนี่ยจากภายนอกมันก็มองยากแหละเนอะ ที่ทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะไม่ให้เห็นว่ากำลังกลุ้มใจอยู่ล่ะมั้ง อย่างไรก็ตาม ผมกับมิยาตะน่ะก็จะถูกโมโหใส่อยู่บ่อยๆเลยล่ะ(หัวเราะ) เพราะว่าผมเป็นคู่เต้นกับมิยาตะนั่นแหละ ดังนั้นทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะถูกโกรธเสมอเลยน่ะ เวลาที่โดนโมโหใส่เพราะว่ามิยาตะทำพลาด ผมก็จะโดนลูกหลงไปด้วย เป็นแบบนี้เสมอเลยล่ะ

-แล้วตอนนั้นเนี่ย เกิดเรื่องแบบไหนขึ้นกับมิยาตะคุงบ้าง
ทามะ: เพราะว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกโกรธอยู่บ่อยๆ ก็เลยทำให้เข้าใจกันดีล่ะมั้ง เพราะเคยออกไปเก็บสตอเบอร์รี่ด้วยกันสองคนล่ะ เก็บสตอเบอร์รี่ไปด้วยแล้วก็คุยกันไปด้วย ว่า”คิดไว้ไม่ผิดเลยนะ พวกเรานี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ” “แต่เราก็พยายามกันแล้วนี่เนอะ”

-ในทางตรงกันข้าม มีเรื่องที่ทำให้ดีใจเพราะถูกคนชมบ้างไหม?
ทามะ: ไม่เคยถูกชมเลยล่ะ คนที่จะมาชมน่ะไม่มีหรอก มีแต่อารมณ์ประมาณว่า”มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ใครๆก็ทำได้” เพราะว่าเติบโตมากับการถูกโกรธมาตลอด ถ้าถูกชมก็จะรู้สึกไม่ดีเลยล่ะ ไม่ถนัดในเรื่องการถูกชมเลย มันคงเป็นความรู้สึกเหมือนกับ มีอะไรติดอยู่ที่หลังแบบนี้ล่ะมั้ง

-ก่อนเดบิ้วเนี่ย ภายในกลุ่มก็มีการเปลี่ยนตำแหน่งการยืนจากแถวหน้าไปแถวหลังด้วยใช่ไหม?
ทามะ: ใช่แล้วล่ะ ตอนแรกนะเกลียดการที่ต้องโดดเด่นเอามากๆเลยล่ะ

-ตอนนั้นก็ยังเกลียดอยู่อีกเหรอ??
ทามะ: มันน่าอายน่ะ เพราะเต้นอยู่แถวริมมาตลอด อยู่ๆจะให้ไปเต้นอยู่ตรงกลางได้ไง วิวมันต่างกันมากเลยนะ ข้างหน้าที่ไม่มีใครยืนอยู่เนี่ย วิตกกังวลมากเลยล่ะ อารมณ์ประมาณว่า”ฉันจะรอดไหมเนี๊ยย”

-จริงๆแล้วก็วิตกกังวลสินะ
ทามะ: ถูกพูดใส่ว่า “ทำสิ” เพราะฉะนั้นก็จะไม่พูดกลับไปว่า”ทำไม่ได้”ล่ะนะ เรื่องที่ถูกพูดใส่ กับงานที่ได้รับมอบหมายมาน่ะ จะต้องทำให้สำเร็จ แล้วก็นะ มีจูเนียร์ตั้งหลายคนที่สนิทกันเนี่ยมาพูดว่า”ผมจะพยายามแล้วก็จะเดบิ้ว” มันไม่มีจังหวะอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ผมน่ะเป็นคนไม่มั่นคง ดังนั้นผมจึงคิดว่าทำไมผมถึงยังอยู่ที่นี่ ในขณะที่คนอื่นเขาพยามอย่างเต็มทีแล้วได้ไปต่อ ผมไม่สามารถเต้นให้ดีได้ และส่วนที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็ไม่มี แต่ผมน่ะแค่ดวงดี เพราะฉะนั้นก็จะทำต่อไปอย่างไม่มั่นคงนี่แหละ จะเป็นการเสียมารยาทกับคนที่จริงจังรึเปล่านะ อย่างไรก็ตามก็จะทำอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้รับมาหรือตำแหน่งที่ยืน

“คุณต้องเลือกเส้นทางของคุณด้วยตัวเอง แต่ถ้ามันพังก็จบนะ”
-แต่ว่า มันก็นานอยู่นะกว่าจะเดบิ้วเนี่ย ก็ยังพยายามกันต่อไปสินะ
ทามะ: ตั้งใจว่าจะเลิกแล้วล่ะ เพราะเคยโดนให้หยุดพักไปช่วงหนึ่งด้วยนะ

-แล้วมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
ทามะ: ตอนม.6น่ะ ก็เป็นตอนเพื่อนในห้องเริ่มเลือกทางเดินในอนาคตอย่างจริงจังแล้วล่ะ จะไปเป็นแดนเซอร์บ้างไปเป็นนายแบบบ้าง ทุกคนก็มีเส้นทางที่ชัดเจนที่อยากจะพัฒนาด้วยตัวเอง พยามกันอย่างเต็มที่เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายและความฝัน เป็นช่วงเวลาที่น่าอิจฉามากเลยล่ะ

-พยายามอย่างเต็มที่และได้เดบิ้วมันก็เป็นความฝันไม่ใช่เหรอ?
ทามะ: มันก็ความฝันนั่นแหละ แต่ว่าไม่รู้ว่าจะได้เดบิ้วเมื่อไหร่น่ะสิ ถึงแม้ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีการรับรองว่าจะได้เดบิ้ว ความสามารถก็ยังธรรมดาอยู่ แต่เพราะสิ่งจำเป็นก็คือโชคและจังหวะ ตอนนั้นผมก็คิดว่าผมจะอยู่จอนนี่ไปถึงเมื่อไหร่นะ ถ้ามัวแต่เสียเวลากับการทำสิ่งนี้อยู่ ก็เลิกไปไม่ดีกว่าเหรอ? ก็เลยไปพูดกับพ่อว่า”ตั้งใจว่าจะเลิกแล้วล่ะ”

-แล้วอะไรที่ทำให้กลับมาล่ะ?
ทามะ: วันนั้น พอผมลงแช่ในอ่างอาบน้ำ พ่อก็เข้ามาแล้วพูดกับผมว่า”ถ้าลองพยายามดูอีกซักนิดล่ะ?” พ่อน่ะโกรธผมมายันม.ต้นเลยนะ แต่พ่อก็บอกผมเสมอว่า”พอขึ้นม.ปลายแล้วจะไม่พูดอะไรอีก” “ทำในสิ่งที่ชอบและเลือกเส้นทางในอนาคตด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบเถอะ” เพราะฉะนั้น ก็คงมีเรื่องที่รู้สึกเสียใจทีหลังเกิดขึ้นด้วย แต่ก็ไปหาประสบการณ์จากส่วนนั้นซะ พอขึ้นม.ปลายก็ไม่ได้โกรธผมแล้วจริงๆ

-ต้องเลือกเส้นทางในอนาคตด้วยตัวเอง
ทามะ: อื้อ พ่อพูดแบบนั้นตอนที่อยู่ในห้องอาบน้ำล่ะ “ต้องเลือกเส้นทางในอนาคตด้วยตัวเอง แต่ถ้ามันพังก็จบนะ” พอได้ฟังสิ่งนั้นก็รู้ตัวขึ้นมาเลยล่ะ

-เรื่องอะไรที่คุณรู้ตัว?
ทามะ: ก็ที่คิดว่าจะออกจากงานดีไหมนั่นแหละ แล้วก็ไม่คิดที่จะสานต่อมันแล้วน่ะ ผมไม่ต้องการที่จะออกเพราะว่าผมยังสามารถทำในเรื่องที่อยากจะทำได้ มันเป็นแค่ความกลัวที่มองไม่เห็นอนาคตน่ะ แค่พยายามที่จะหนีออกมาจากตรงนั้น แต่ว่านะ ก็จะก้าวไปข้างหน้า และลองพยามอีกครั้งหนึ่ง

-เป็นอย่างนี้นี่เอง
ทามะ: เพราะว่ามันสับสนน่ะ แล้วแม่ก็เข้ามาในห้องน้ำ เอามือเท้าคางกับอ่างอาบน้ำแล้วพูดว่า”ถ้าลองพยายามดูอีกซักนิดล่ะ?” และแน่นอนผมก็ต้องโป๊อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนั้นก็เพิ่งจะวัยรุ่นเอง ก็ได้แต่ฟังแล้วก็ตอบไปว่า”อื้ม อื้ม” แต่ก็ปิดท่อนล่างเอาไว้นะ (หัวเราะ) เพราะว่าอยากให้รีบๆออกไป ก็เลยบอกว่า”เข้าใจแล้ว จะทำนะ จะทำ”

-ฮ่าๆๆ
ทามะ: แต่ว่าถ้าไม่ได้ออกทีวีภายในอายุ20ปีก็จะเลิกทำแน่นอน มันเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองแค่ส่วนนั้นแหละ

-แล้วเรื่องนี้มีใครพูดบ้างไหม?
ทามะ: ไม่มีใครพูดหรอก เพราะว่าเราอยู่กันเป็นกลุ่ม มันไม่ใช่ปัญหาของตัวเองแค่คนเดียว รู้เลยว่าถ้าเลิกไปเนี่ยจะเดือดร้อนคนอื่นด้วย ก็ตั้งใจว่าจะไม่พูดกับเมมเบอร์จนกว่าจะถึงขีดสุดจริงๆ

-เป็นพวกที่ชอบแบกรับความทุกข์เอาไว้สินะ
ทามะ: เพราะว่าเป็นพวกที่ชอบเก็บเอาไว้คนเดียว แล้วก็จะระเบิดออกมาทีเดียวเลยน่ะสิ(หัวเราะ)

-แล้วพวกที่เดบิ้วไปก่อนก็คือHey!Sey!JUMPสินะ
ทามะ: มีคนที่เข้ามาทีหลังพวกเราด้วยนะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกพูดใส่ว่าให้ไปเต้นเป็นแบคในคอนเสิร์ตเดบิ้วอีก ทำไมต้องเป็นพวกเรานะ มันเจ็บปวดมากจริงๆ แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุที่ต้องทำให้คนอื่นสนใจให้ได้ ก็คิดว่าจะทำให้เหนือกว่าพวกนั้นให้ได้ ให้พวกนั้นหันกลับมามองให้ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดกับเมมเบอร์คนอื่นๆนะ คิดอยู่คนเดียวน่ะ

-เมื่อกี้พูดไว้ว่ากำหนดลิมิตเอาไว้แล้ว แต่ตอนเดบิ้วน่ะมันเลยอายุ20ไปแล้วใช่ไหม?
ทามะ: ก็เลยแล้วล่ะ เป็นแบบนั้นแหละ ก็เคยคิดว่าจะเลิกทำตอนอายุ20ปีด้วย แต่คิสมายก็ค่อยๆมีงานCMเข้ามาบ้าง แล้วก็ได้ให้เราทำงานต่างๆมากมาย ก็เลยคิดว่า ถ้าพยายามอีกซักนิดก็อาจจะได้เดบิ้วก็ได้นะ เหมือนมีความหวังขึ้นมาแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ก้าวต่อไปข้างหน้าอีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าตอนอายุ20เลิกไปกลางคันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ที่จุดนี้หรอกเนอะ

“ถ้าผมยอมแพ้ก็จะกลายเป็นพวกห่วยแตกใช่ไหมล่ะ?”
-ตอนอายุ19 ก็ได้แสดงละครเรื่อง”GOKUSEN”ด้วยสินะ
ทามะ: ดีใจมากๆเลยล่ะ แต่ว่าพอเข้าฉากจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะใช้ ทักษะการแสดงได้เลย ที่เรียกว่าทำความสามารถของตัวเองเนี่ย ก็คิดว่าตัวเองเนี่ยแย่จริงๆ ถ้าทำได้ ตอนนี้ก็อยากกลับไปถ่ายใหม่อีกครั้งล่ะ

-แต่งานนักแสดงก็ค่อยๆเข้ามาเรื่อยๆใช่ไหม
ทามะ: จริงๆแล้ว หลังจากGOKUSEN ก็เกลียดการที่ต้องเลือกงานในด้านที่ต้องใช้ทักษะการแสดงไปเลยล่ะ เพราะว่าผมทำไม่ได้ ก้าวต่อไปไม่ได้ และในอาชีพหลักก็มีงานอยู่มากมาย ก็เลยเป็นผลให้ต้องเล่นเป็นพระเอกในเรื่อง”IKEMEN DESUNE”ด้วย มีความกดดันมากเลยนะ รู้สึกแย่ไปเลยล่ะ ไม่มีใครมาให้คำแนะนำเรื่องทักษะการแสดงเลย ต้องต่อสู้กับเรื่องราวมากมายด้วยตัวเอง

-ก็ต้องเก็บความทุกข์ ความกังวล และความไม่พอใจเอาไว้คนเดียวน่ะเหรอ?
ทามะ: ก็มันไม่สามารถพูดกับเมมเบอร์คนอื่นๆได้เลย แล้วก็อายที่จะต้องพูดให้ครอบครัวฟังด้วย เพราะว่าไม่อยากให้เห็นในส่วนที่อ่อนแอ ก็เลยต้องทำเป็นเฉยๆเข้าไว้ ทั้งที่จริงแล้วกดดันสุดๆเลยล่ะ บางทีก็ต้องพูดมันออกมาเวลาที่อยู่ในห้องน้ำแบบนี้น่ะ ถ้าผมแสดงส่วนที่อ่อนแอออกมาให้ครอบครัวเห็น ก็คงจะดีกว่านี้ล่ะมั้ง แต่ผมเกลียดเรื่องแบบนี้ เลยไม่อยากแสดงให้ครอบครัวเห็น

-ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วทำไมถึงพยามต่อได้?
ทามะ: ผมก็คิดว่าจะเป็นอย่างไรนะถ้าผมยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้ไปก็จะเป็นคนที่ห่วยแตกใช่ไหม? อื้อ ดังนั้นต้องผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้ พวกเราน่ะเป็นจูเนียร์มายาวนานมาก และได้แต่มองดูคนอื่นที่ได้เดบิ้ว ทุกคนพยายามและประสบความสำเร็จในการเดบิ้ว อย่างเช่นการเดบิ้วของคัตตุน ก็จะเห็นพวกเราเต้นอยู่ด้านหลัง มันดูแปลกถ้าผมพูดไป ผมเลยได้แต่คิดว่า “เขาพยายามกันมากจริงๆน้า” เป็นโลกที่สามารถเห็นได้จากการที่เป็นแบคมานานล่ะ ทั้งๆที่มีรุ่นพี่หลายคนที่ข้ามกำแพงมาได้ เพราะฉะนั้นถ้าผมยอมแพ้ก็จะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ?

“ทุกคนเป็นคู่แข่งของผมหรือว่าผมเป็นคู่แข่งกับตัวเอง”
-ย้อนกลับไปในตอนที่เราคุยกัน ในปี2011เดือน2ก็ได้ประกาศว่าจะเดบิ้วบนเวทีใช่ไหม
ทามะ: มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากเลยล่ะ ตอนแรกก็เฉยๆนะ แต่พอคิดดีดีก็ “เมื่อกี้พูดอะไรนะ?” “ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม?” “พวกเราจะได้เดบิ้วเหรอ?” แล้วก็กลายเป็นความรู้สึกที่ว่า”จะดีเหรอที่ได้เดบิ้วน่ะ?” มีผมคนเดียวที่ได้แต่ยืนช็อคอยู่ แต่เพราะว่าทุกคนดีใจกันหมด ผมก็เลยต้องดีใจด้วย(หัวเราะ)

-ฮ่าๆๆๆ
ทามะ: เพราะว่าการเดบิ้วของเราได้ถูกกำหนดแล้ว ก็เลยไปกินเนื้อย่างด้วยกันกับทุกคน จนถึงตอนนั้นเราก็ยังไปกันเป็นกลุ่มหรือไปกับสต้าฟ ไม่เคยได้ไปกันแค่7คนเลย

-แล้วสนุกใช่ไหมล่ะ?
ทามะ: ไม่ใช่ล่ะ พอเรารวมตัวกันมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะ(หัวเราะ) ตอนแรกก็กินเนื้อย่างกันโดยไม่พูดกันซักคำ แต่เพราะว่าคิตะมิตสึน่ะใส่ใจทุกคน ก็เลยเริ่มพูดขึ้นมาว่า”พอเดบิ้วแล้ว เราจะทำอะไรกันต่อดีล่ะ?” “จะพูดเกินความจริงก็ได้นะ เพราะว่าเราจะทำความฝันนั้นให้เป็นจริง บอกเป้าหมายมาทีละคนเลย”

-แล้วพูดอะไรไปล่ะ?
ทามะ: ผมน่ะเหรอ? ก็พูดไปว่า”อยากเป็นคนของประชาขน” ผมก็คิดว่าบางทีทุกคนก็มีเป้าหมายที่จะให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอเราเริ่มคุยกันอย่างบ้าคลั่ง ก็กลายเป็นบรรยากาศที่เศร้าขึ้นมานิดนึง แล้วเราก็เริ่มกินโดยที่ไม่พูดอะไรเลยอีกครั้ง

-จนถึงตอนนี้ ก็เคยพูดไว้ว่าจะเลิกทำใช่ไหม มันน่าประหลาดใจมากเลยนะที่ยังอยู่ต่อไปได้โดยที่ต้องเผชิญกับความลำบากและความเจ็บปวดน่ะ
ทามะ: จะพูดยังไงดีนะ? สิ่งที่ผมทำทั้งหมดก็เพราะพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจให้ทำสินะ เรื่องที่ได้เข้ามาในบริษัทก็ไม่ใช่การตัดสินใจของผมเอง แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มที่จะรักงานนี้

-แต่ว่า มันยากนะที่จะทำในเรื่องที่ชอบ กับเรื่องที่อยากจะทำน่ะ แล้วกว่าจะพบมันก็ยากอยู่นะ
ทามะ: นั่นสินะ แต่ว่าก็เจอแล้วล่ะ ถ้าผมสามารถพูดได้แค่คนเดียว ก็คงจะเป็นเรื่องที่สนุกกับการได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่ล่ะมั้ง ทั้งการเต้น ทั้งการร้อง และทักษะการแสดงก็ทำอย่างเต็มที่เหมือนกันนะ พอมองดูรุ่นพี่แล้วก็คิดว่าอยากจะเก่งกว่านี้อีก ผมน่ะไม่เก่งทั้งการเต้น ทั้งการร้อง ทั้งทักษะการแสดงเลยซักอย่าง แต่เพราะว่าผมชอบมันทั้งหมด ก็เลยคิดว่าต้องเก่งกว่านี้ให้ได้ แต่จริงๆมันก็ยากอยู่นะ แม้ว่าจะพยายามไปเท่าไหร่มันก็อาจจะยังไม่จบไม่สิ้นก็ได้

-งั้น ตอนนี้คิดอย่างไรกับHey!Sey!JUMPเหรอ?
ทามะ: ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษแล้วล่ะ แล้วก็จะไม่คิดด้วยว่า”จะไม่ลืมเรื่องราวในวันนั้น”(หัวเราะ) ถึงแม้ทางพวกเราจะช้ากว่าก็จริงแต่เพราะว่าเรายืนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เราจึงเป็นเพื่อนที่ต้องต่อสู้ไปด้วยกันน่ะ


-แล้วมีที่คิดขึ้นมาแว๊บนึงไหมว่าเราเหนือกว่าแล้วน่ะ?
ทามะ: เหนือกว่าเหรอ.... โหย ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นหรอกนะ เพราะว่าก่อนเดบิ้วก็ยังเด็กมากจริงๆ ก็จะคิดแค่ว่า จะเป็นที่หนึ่งในกลุ่มให้ได้ และคิดว่าจะชนะพวกที่วัยเดียวกับเราให้ได้ มากกว่าน่ะ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นแหละ พอได้เดบิ้ว ก็เริ่มคิดแล้วว่าอะไรที่ผมสามารถทำได้ในตอนที่มีรุ่นพี่อยู่มากมายบ้าง เพราะฉะนั้น จะพูดยังไงดีล่ะ ทุกคนเป็นคู่แข่งของผมหรือว่าผมเป็นคู่แข่งกับตัวเองกันแน่นะ

-สุดท้ายแล้ว ก็อยากจะรู้ถึงเหตุผลที่ไม่ยอมพูดคำพูดที่อ่อนแอให้คนอื่นรู้น่ะ
ทามะ: ทำไมกันนะ? บางทีผมก็คิดว่าลึกๆข้างในเนี่ยผมก็พยามทำตัวให้ดูเท่ตลอดเวลา และแน่นอนผมอยากให้คนอื่นเห็นถึงความเท่ และก็อยากให้คิดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็สามารถทำได้หมด ครอบครัวก็ได้แสดงความคิดเห็นในรายการที่ไปออกด้วย พูดว่า”ดีจังเลยนะ!” แต่เพราะว่ามันอายน่ะ ก็เลยตอบไปแค่ว่า”อ้อ อย่างนั้นเหรอ” แต่ว่าจริงๆแล้วดีใจสุดๆเลยล่ะ

-สักวันคุณจะสามารถพูดคำพูดที่อ่อนแอออกมาได้บ้าง หรือแสดงถึงตัวตนจริงๆของคุณออกมาไหมนะ?
ทามะ: สักวันเหรอ.... แต่ว่าผมก็แสดงตัวตนของผมจริงๆกับเมมเบอร์อยู่แล้วนะ แต่ว่าแค่ไม่พูดคำพูดที่อ่อนแอออกมาน่ะ เพราะพวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา

-มันหมายความว่าอะไรนะ?
เราผ่านเรื่องราวมามากมาย เช่นตอนที่อยู่ที่สถานที่ถ่ายทำละครIKEMEN DESUNE เพราะว่าผมอ่านบทละครอยู่หลายครั้งมาก เพื่อที่จะเข้าถึงตัวละครเลยทำให้กระดาษมันขาดออกมา พอกายะเห็นมัน เขาไม่ใช่คนที่จะมาพูดว่า”พยายามเข้านะ” แต่เขาจะคอยสนับสนุนและช่วยเหลือผมเสมอ เวลาที่ถ่ายรายการ เมื่อผมคิดว่า”แย่แน่ๆ” หรือต่อให้ไม่พูดอะไรที่เมมเบอร์ก็รู้สึกแบบนั้น เขาก็จะมาตบบ่าแล้วพูดว่า”ไม่เป็นไรหรอกน่า” ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำพูดใดๆ แต่เมมเบอร์ก็เข้าใจดี เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย และผมก็คิดว่าเมมเบอร์ทุกคนน่ะช่วยให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ล่ะ อื้ม เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แค่คำตอบเมื่อกี้เท่านั้นนะ แต่ผมคิดว่าที่ผมไม่ยอมแพ้ก็เพราะว่ามีพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อผมน่ะ

แปลตามความเข้าใจของเรานะ อยากแปลเพราะว่าทามะน่ารักมากจริงๆ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ T T

Cradit: thinqqq

1 ความคิดเห็น: